Monday, 22 September 2014
เมื่อท่านผู้เฒ่า “ลี กวน ยู” สอนวิธีชราอย่างมีคุณภาพ
#เรื่องดี #เข้าท่า
เมื่อท่านผู้เฒ่า “ลี กวน ยู”
สอนวิธีชราอย่างมีคุณภาพ
เพราะเคยมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตผิดมานาน เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น
อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ลี กวน ยู จึงหยุด
อดีตนายก ฯ สิงคโปร์ ลี กวน ยู ปีนี้อายุ 87 แต่สุขภาพยังฟิตเปรี๊ยะ เพราะดูแลสุขภาพตัวเองอย่างเคร่งครัด แกเล่าว่า ครั้งหนึ่งตอนยังหนุ่มแน่นและเป็นนักการเมืองเต็มตัว ก็เคยใช้ชีวิตที่เป็นโทษกับสุขภาพของตนอย่างยิ่งเช่นกัน กินเหล้า สูบบุหรี่ อย่างหนักหน่วงมาก่อน
ลีเล่าว่า ตอนอายุ 34 ต้องหาเสียงอย่างร้อนแรง คืนที่ชนะเลือกตั้ง ทั้งสูบบุหรี่ ทั้งดื่มเบียร์เต็มอัตรา พอจะขึ้นเวทีปราศรัยขอบคุณประชาชน ปรากฏว่าเสียงหาย
ได้เสียงมากพอที่จะชนะเลือกตั้ง แต่เสียงจากลำคอแห้งเหือดไปหมด เพราะบุหรี่และเหล้าตัวดี (แปลว่าตัวร้าย) นี่แหละ “ผมหลอกตัวเองด้วยการซื้อบุหรี่ซองละ 10 มวน...แต่ผมต้องปราศรัย 3 แห่งในคืนเดียวกัน ก็จึงสูบไป 30 มวนอยู่ดี....” นายลีเล่าให้สมาคมผู้สูงอายุฟังเมื่อไม่นานมานี้
มาถึงจังหวะหนึ่งของชีวิต นายลีบอกว่าสุขภาพของเขาย่ำแย่ถึงขั้นที่เขาต้องตัดสินใจว่าจะเป็นนักการเมืองและทนายความที่ดีต่อไปได้หรือไม่ สองอาชีพนี้ต้องใช้เสียงด้วยกันทั้งนั้น
“ผมบอกตัวเองว่า ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือทนาย ผมก็ต้องรักษาเสียงผมไว้ ผมจึงตัดสินใจเลิกบุหรี่...” นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะลีสารภาพว่าเขาติดบุหรี่งอมแงม บางคืนฝันร้ายว่ากลับไปสูบบุหรี่อีก ตกใจตื่นขึ้นมากลางดึกก็บ่อย แต่พลังของความเด็ดเดี่ยวที่จะต้องเลิกบุหรี่นั้นมาจากการตอบคำถามตัวเองว่า จะทำอาชีพของตัวเองให้ได้ดีต่อไปหรือไม่ ถ้าจะทำงานให้ดีต้องหยุดบุหรี่ และต้องหยุดอย่างเด็ดขาด ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่ได้ ตอนนั้น ลียังไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมะเร็งกับการสูบบุหรี่ จึงยังไม่มีความกลัวตายนัก
แต่แปลกมากที่หลังจากนั้น ลี ก็เกิดอาการแพ้ควันบุหรี่อย่างหนักหน่วง เรียกว่าใครสูบบุหรี่ใกล้ ๆ ไม่ได้เลย “ผมต้องขอให้รัฐมนตรีไม่สูบบุหรี่ในห้องประชุม ถ้าจะสูบก็ขอให้ไปสูบนอกห้อง เพราะผมแพ้มันจริง...”
วันหนึ่ง ลี อยู่ที่บ้านของเพื่อนซี้ชื่อราชารัตนัม และกำลังพูดคุยกับนักข่าวต่างประเทศกลุ่มหนึ่งซึ่งรวมถึงนักข่าวจากหนังสือพิมพ์ ลอนดอนไทมส์ พอถ่ายรูปร่วมกัน ลี เห็นรูปของตัวเองพร้อมกับพุงที่ยื่นออกมาอย่างน่าเกลียด “ผมบอกตัวเองทันทีที่เห็นรูปนั้นว่า ไม่ไหว เพราะมันเป็นพุงที่ยื่นออกมาด้วยฤทธิ์ที่ดื่มเบียร์มากเกินไป” ลี กวน ยู ตัดสินใจปฏิบัติการ “ลดพุง” ด้วยการหันไปเล่นกอล์ฟ...เริ่มด้วยการหวดลูกกอล์ฟเป็นร้อย ๆ ครั้งต่อวัน แต่พุงก็หาได้ลดลงไม่ แกจึงบอกตัวเองอีกรอบว่า ถ้าจะให้หุ่นดี ต้องลดการบริโภค และต้องเผาผลาญจากร่างกายให้มากกว่านี้
วันหนึ่งหลังการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1976 ลี บอกว่ารู้สึกเหนื่อย จึงไปยืนที่สนามของทำเนียบนายก ฯ พยายามหายใจลึก ๆ ยาว ๆ ลูกสาวลีคนหนึ่งที่เพิ่งจบวิชาแพทย์มาเห็นเข้าก็ถามว่า “พ่อทำอะไรอยู่” แกตอบว่า “พ่อพยายามจะสูดออกซิเจนเข้าไป” ลูกสาวตอบสวนกลับมาทันทีว่า “ถ้างั้น พ่อต้องไม่เล่นกอล์ฟ ต้องหันไปวิ่ง ต้องออกกำลังกายแบบแอโรบิก...”
ตอนแรก ลี ใช้วิธีเดินเร็ว ๆ ระหว่างหลุมกอล์ฟ ต่อมาก็วิ่งระหว่างหลุม รู้สึกร่างกายจะตอบสนองดี หลังจากนั้นไม่นาน ลี ก็ตัดสินใจออกกำลังกายด้วยการวิ่งหลังการตีกอล์ฟ อีกไม่กี่ปีต่อมา ลี ก็ได้คำตอบกับตัวเองว่า การตีกอล์ฟกินเวลายาวนานเกินไป ออกกำลังกายด้วยการวิ่งกินเวลาแค่ 15 นาทีเท่านั้น แกจึงเลิกตีกอล์ฟ หันมาวิ่งอย่างเดียว
ลีบอกว่า ตัวเองไม่เคยคิดว่าจะมีอายุถึง 84 หรือ 85 คุณแม่เสียตอนอายุ 74 แต่คุณพ่อจากไปตอน 94 เพราะคุณพ่อว่ายน้ำทุกวันและหาเรื่องทำตลอดเวลา “ดังนั้น ผมจึงคำนวณเอาเองว่า ผมควรจะมีอายุยาวนานถึงตรงกลางระหว่างคุณพ่อกับคุณแม่ “ ตอนอายุ 73 ขณะที่ขี่จักรยาน ลี รู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นไปถึงคอ วันรุ่งขึ้น ถีบจักรยานอีก อาการหนักขึ้นหลังจากเริ่มต้นได้ 5 นาที แกให้หมอตรวจก็พบว่า เส้นโลหิตบางเส้นตีบ ต้องใส่บอลลูนหัวใจ “ถ้าผมไม่รีบไปให้หมอหัวใจตรวจ สงสัยอาจจะม่องเท่งตอน 74 แล้วก็ได้ เหมือนแม่ผม...” เส้นตายเส้นต่อไปคืออายุ 84 ซึ่งเป็นปีที่คุณพ่อหกล้มจนต้องนั่งรถเข็น
“ผมต้องระวัง เพราะบางทีถ้าผมหมุนตัวเร็วไปหน่อย จะเกิดอาการเวียนหัว หน้ามืด
จึงต้องทำอะไรช้าลง เพราะประสาทของคนวัยทองเริ่มจะเสื่อมถอยลง”
ลี กวน ยู แนะนำคนชราแห่งสิงคโปร์ว่า จะต้องไม่แยกตัวเองไปอยู่อย่างโดดเดี่ยว
เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องการมีอะไรมากระตุ้นตลอดเวลา
และต้องพบปะผู้คน ต้องคอยติดตามเรื่องราวของสังคมและโลก
“ผมไม่ค่อยชอบเดินทางเท่าไร
แต่ผมก็บังคับตัวเองให้ไปโน่นมานี่ในตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของหลายบริษัท เช่น ธนาคารและบริษัทน้ำมัน
ผมไปจีน ไปอินเดีย...ได้พบปะ ได้ประชุม ได้ฟังคำบรรยายสรุป
จะได้รู้ว่าโลกไปถึงไหนแล้ว...มิฉะนั้น ผมว่าเราจะเหี่ยวเฉาแน่หากนั่งนอนอยู่กับบ้านและไม่คบหาผู้คน...”
ลีบอกว่า ที่สำคัญสำหรับคนอายุมากขึ้นคือ ต้องมีความสนใจอะไรเป็นพิเศษ
“ถ้าคุณอายุ 55 และบอกตัวเองว่าจะเกษียณเพื่ออ่านหนังสือ เล่นกอล์ฟ และดื่มไวน์
ผมว่าคุณเสร็จแน่ ๆ !
เพราะหลังจากสองสามเดือน คุณจะเริ่มเบื่อ ไม่มีอะไรทำ
ไม่มีเป้าหมายในชีวิต คุณจะเริ่มเหี่ยวทั้งร่างกายและหัวใจ..
.” ดังนั้น คำแนะนำจากท่านผู้อาวุโสของสิงคโปร์ก็คือ ต้องหาเรื่องที่ตนเองสนใจมาทำ และต้องหาอะไรท้าทายตัวเองตลอดเวลา
“ทุกวันนี้ พอใครมาบอกผมว่า อายุ 60 แล้ว กำลังจะเกษียณ
จะไม่ทำอะไรแล้ว ผมถามเขาว่า คุณอยากตายเร็วหรือไง”
แกฝากบอก สว. หรือคนสูงวัยทั้งหลายว่า “ถ้าคุณต้องการเห็นพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้
คุณต้องหาเหตุผล ต้องมีอะไรมากระตุ้นให้คุณต้องการจะใช้ชีวิตที่สนุกสนานต่อไปเรื่อย ...
ไม่ใช่พักผ่อนนอนหลับอย่างเดียว...อย่างนี้เท่ากับรอวันตายเท่านั้น !
(โดย สุทธิชัย หยุ่น)
เมื่อท่านผู้เฒ่า “ลี กวน ยู”
สอนวิธีชราอย่างมีคุณภาพ
เพราะเคยมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตผิดมานาน เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น
อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ลี กวน ยู จึงหยุด
อดีตนายก ฯ สิงคโปร์ ลี กวน ยู ปีนี้อายุ 87 แต่สุขภาพยังฟิตเปรี๊ยะ เพราะดูแลสุขภาพตัวเองอย่างเคร่งครัด แกเล่าว่า ครั้งหนึ่งตอนยังหนุ่มแน่นและเป็นนักการเมืองเต็มตัว ก็เคยใช้ชีวิตที่เป็นโทษกับสุขภาพของตนอย่างยิ่งเช่นกัน กินเหล้า สูบบุหรี่ อย่างหนักหน่วงมาก่อน
ลีเล่าว่า ตอนอายุ 34 ต้องหาเสียงอย่างร้อนแรง คืนที่ชนะเลือกตั้ง ทั้งสูบบุหรี่ ทั้งดื่มเบียร์เต็มอัตรา พอจะขึ้นเวทีปราศรัยขอบคุณประชาชน ปรากฏว่าเสียงหาย
ได้เสียงมากพอที่จะชนะเลือกตั้ง แต่เสียงจากลำคอแห้งเหือดไปหมด เพราะบุหรี่และเหล้าตัวดี (แปลว่าตัวร้าย) นี่แหละ “ผมหลอกตัวเองด้วยการซื้อบุหรี่ซองละ 10 มวน...แต่ผมต้องปราศรัย 3 แห่งในคืนเดียวกัน ก็จึงสูบไป 30 มวนอยู่ดี....” นายลีเล่าให้สมาคมผู้สูงอายุฟังเมื่อไม่นานมานี้
มาถึงจังหวะหนึ่งของชีวิต นายลีบอกว่าสุขภาพของเขาย่ำแย่ถึงขั้นที่เขาต้องตัดสินใจว่าจะเป็นนักการเมืองและทนายความที่ดีต่อไปได้หรือไม่ สองอาชีพนี้ต้องใช้เสียงด้วยกันทั้งนั้น
“ผมบอกตัวเองว่า ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือทนาย ผมก็ต้องรักษาเสียงผมไว้ ผมจึงตัดสินใจเลิกบุหรี่...” นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะลีสารภาพว่าเขาติดบุหรี่งอมแงม บางคืนฝันร้ายว่ากลับไปสูบบุหรี่อีก ตกใจตื่นขึ้นมากลางดึกก็บ่อย แต่พลังของความเด็ดเดี่ยวที่จะต้องเลิกบุหรี่นั้นมาจากการตอบคำถามตัวเองว่า จะทำอาชีพของตัวเองให้ได้ดีต่อไปหรือไม่ ถ้าจะทำงานให้ดีต้องหยุดบุหรี่ และต้องหยุดอย่างเด็ดขาด ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่ได้ ตอนนั้น ลียังไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมะเร็งกับการสูบบุหรี่ จึงยังไม่มีความกลัวตายนัก
แต่แปลกมากที่หลังจากนั้น ลี ก็เกิดอาการแพ้ควันบุหรี่อย่างหนักหน่วง เรียกว่าใครสูบบุหรี่ใกล้ ๆ ไม่ได้เลย “ผมต้องขอให้รัฐมนตรีไม่สูบบุหรี่ในห้องประชุม ถ้าจะสูบก็ขอให้ไปสูบนอกห้อง เพราะผมแพ้มันจริง...”
วันหนึ่ง ลี อยู่ที่บ้านของเพื่อนซี้ชื่อราชารัตนัม และกำลังพูดคุยกับนักข่าวต่างประเทศกลุ่มหนึ่งซึ่งรวมถึงนักข่าวจากหนังสือพิมพ์ ลอนดอนไทมส์ พอถ่ายรูปร่วมกัน ลี เห็นรูปของตัวเองพร้อมกับพุงที่ยื่นออกมาอย่างน่าเกลียด “ผมบอกตัวเองทันทีที่เห็นรูปนั้นว่า ไม่ไหว เพราะมันเป็นพุงที่ยื่นออกมาด้วยฤทธิ์ที่ดื่มเบียร์มากเกินไป” ลี กวน ยู ตัดสินใจปฏิบัติการ “ลดพุง” ด้วยการหันไปเล่นกอล์ฟ...เริ่มด้วยการหวดลูกกอล์ฟเป็นร้อย ๆ ครั้งต่อวัน แต่พุงก็หาได้ลดลงไม่ แกจึงบอกตัวเองอีกรอบว่า ถ้าจะให้หุ่นดี ต้องลดการบริโภค และต้องเผาผลาญจากร่างกายให้มากกว่านี้
วันหนึ่งหลังการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1976 ลี บอกว่ารู้สึกเหนื่อย จึงไปยืนที่สนามของทำเนียบนายก ฯ พยายามหายใจลึก ๆ ยาว ๆ ลูกสาวลีคนหนึ่งที่เพิ่งจบวิชาแพทย์มาเห็นเข้าก็ถามว่า “พ่อทำอะไรอยู่” แกตอบว่า “พ่อพยายามจะสูดออกซิเจนเข้าไป” ลูกสาวตอบสวนกลับมาทันทีว่า “ถ้างั้น พ่อต้องไม่เล่นกอล์ฟ ต้องหันไปวิ่ง ต้องออกกำลังกายแบบแอโรบิก...”
ตอนแรก ลี ใช้วิธีเดินเร็ว ๆ ระหว่างหลุมกอล์ฟ ต่อมาก็วิ่งระหว่างหลุม รู้สึกร่างกายจะตอบสนองดี หลังจากนั้นไม่นาน ลี ก็ตัดสินใจออกกำลังกายด้วยการวิ่งหลังการตีกอล์ฟ อีกไม่กี่ปีต่อมา ลี ก็ได้คำตอบกับตัวเองว่า การตีกอล์ฟกินเวลายาวนานเกินไป ออกกำลังกายด้วยการวิ่งกินเวลาแค่ 15 นาทีเท่านั้น แกจึงเลิกตีกอล์ฟ หันมาวิ่งอย่างเดียว
ลีบอกว่า ตัวเองไม่เคยคิดว่าจะมีอายุถึง 84 หรือ 85 คุณแม่เสียตอนอายุ 74 แต่คุณพ่อจากไปตอน 94 เพราะคุณพ่อว่ายน้ำทุกวันและหาเรื่องทำตลอดเวลา “ดังนั้น ผมจึงคำนวณเอาเองว่า ผมควรจะมีอายุยาวนานถึงตรงกลางระหว่างคุณพ่อกับคุณแม่ “ ตอนอายุ 73 ขณะที่ขี่จักรยาน ลี รู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นไปถึงคอ วันรุ่งขึ้น ถีบจักรยานอีก อาการหนักขึ้นหลังจากเริ่มต้นได้ 5 นาที แกให้หมอตรวจก็พบว่า เส้นโลหิตบางเส้นตีบ ต้องใส่บอลลูนหัวใจ “ถ้าผมไม่รีบไปให้หมอหัวใจตรวจ สงสัยอาจจะม่องเท่งตอน 74 แล้วก็ได้ เหมือนแม่ผม...” เส้นตายเส้นต่อไปคืออายุ 84 ซึ่งเป็นปีที่คุณพ่อหกล้มจนต้องนั่งรถเข็น
“ผมต้องระวัง เพราะบางทีถ้าผมหมุนตัวเร็วไปหน่อย จะเกิดอาการเวียนหัว หน้ามืด
จึงต้องทำอะไรช้าลง เพราะประสาทของคนวัยทองเริ่มจะเสื่อมถอยลง”
ลี กวน ยู แนะนำคนชราแห่งสิงคโปร์ว่า จะต้องไม่แยกตัวเองไปอยู่อย่างโดดเดี่ยว
เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องการมีอะไรมากระตุ้นตลอดเวลา
และต้องพบปะผู้คน ต้องคอยติดตามเรื่องราวของสังคมและโลก
“ผมไม่ค่อยชอบเดินทางเท่าไร
แต่ผมก็บังคับตัวเองให้ไปโน่นมานี่ในตำแหน่งประธานที่ปรึกษาของหลายบริษัท เช่น ธนาคารและบริษัทน้ำมัน
ผมไปจีน ไปอินเดีย...ได้พบปะ ได้ประชุม ได้ฟังคำบรรยายสรุป
จะได้รู้ว่าโลกไปถึงไหนแล้ว...มิฉะนั้น ผมว่าเราจะเหี่ยวเฉาแน่หากนั่งนอนอยู่กับบ้านและไม่คบหาผู้คน...”
ลีบอกว่า ที่สำคัญสำหรับคนอายุมากขึ้นคือ ต้องมีความสนใจอะไรเป็นพิเศษ
“ถ้าคุณอายุ 55 และบอกตัวเองว่าจะเกษียณเพื่ออ่านหนังสือ เล่นกอล์ฟ และดื่มไวน์
ผมว่าคุณเสร็จแน่ ๆ !
เพราะหลังจากสองสามเดือน คุณจะเริ่มเบื่อ ไม่มีอะไรทำ
ไม่มีเป้าหมายในชีวิต คุณจะเริ่มเหี่ยวทั้งร่างกายและหัวใจ..
.” ดังนั้น คำแนะนำจากท่านผู้อาวุโสของสิงคโปร์ก็คือ ต้องหาเรื่องที่ตนเองสนใจมาทำ และต้องหาอะไรท้าทายตัวเองตลอดเวลา
“ทุกวันนี้ พอใครมาบอกผมว่า อายุ 60 แล้ว กำลังจะเกษียณ
จะไม่ทำอะไรแล้ว ผมถามเขาว่า คุณอยากตายเร็วหรือไง”
แกฝากบอก สว. หรือคนสูงวัยทั้งหลายว่า “ถ้าคุณต้องการเห็นพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้
คุณต้องหาเหตุผล ต้องมีอะไรมากระตุ้นให้คุณต้องการจะใช้ชีวิตที่สนุกสนานต่อไปเรื่อย ...
ไม่ใช่พักผ่อนนอนหลับอย่างเดียว...อย่างนี้เท่ากับรอวันตายเท่านั้น !
(โดย สุทธิชัย หยุ่น)
Subscribe to:
Posts (Atom)